Barn i flerspråklige familier // แผ่นพับ เด็กในครอบครัวที่พูดหลายภาษา
Informasjonsheftet belyser 10 spørsmål som ofte stilles om barns flerspråklige utvikling. I tillegg til å rette seg mot foreldre, er heftet svært aktuelt for ansatte i barnehager og skoler og på helsestasjoner. Det kan være et fint utgangspunkt for samtale mellom foreldre og ansatte i disse institusjonene om barnas flerspråklige utvikling.
Klikk på overskriften for tekst og lytt til lydfilen
เด็กสามารถเรียนหลายภาษาในช่วงเวลาเดียวกันได้ ส่วนใหญ่ในโลกนี้ถือเป็นเรื่องปกติที่เด็กเรียนหลายภาษามาตั้งแต่เด็ก เพื่อให้เด็กมีการพัฒนาการในหลายภาษาในระดับที่น่าพอใจ ต้องการความช่วยเหลืออย่างต่อเนื่องจากทางบ้าน โรงเรียนอนุบาลและโรงเรียนอย่างจริงจัง สิ่งที่สำคัญคือผู้ใหญ่ที่อยู่แวดล้อมเด็ก ให้การส่งเสริมและสนับสนุนการพัฒนาการ ในการพูดหลายภาษาของเด็ก
ครอบครัวที่มีภูมิหลังที่เป็นชนกลุ่มน้อย สามารถสงวนภาษาแม่ของตนเองได้อย่างง่ายๆ โดยการยังติดต่อกับญาติๆและเพื่อนๆที่อาศัยอยู่ในประเทศอื่นๆอย่างสม่ำเสมอ เด็กที่อยู่ในครอบครัวลักษณะนี้จะมีโอกาสอย่างมาก ที่จะได้รับมรดกทางวัฒนธรรมของพ่อแม่ หากเด็กมีความเข้าใจอย่างถ่องแท้ในภาษาของพ่อแม่ ซึ่งสิ่งนี้จะเพิ่มความเป็นเอกลักษณ์ และสร้างความผูกพันธ์ที่ดีของเด็กได้
เด็กจะมีคุณสมบัติที่ดีกว่าในการเรียนภาษาที่สอง หากเด็กได้รับการพัฒนาภาษาแม่ที่ดี ภาษาแม่และภาษาที่สอง จะช่วยสงเสริมซึ่งกันและกัน เมื่อเด็กได้เรียนรู้ความเข้าใจในภาษาแม่แล้ว เช่น “gaajaysan “ ในภาษาสุมาเลีย ทำให้เด็กเรียนรู้คำได้ง่ายกว่าในทำนองเดียวกันกับการเข้าใจคำว่า “sulten” ในภาษานอร์เวย์
พ่อแม่ทุกคนอยากให้ลูกประสบความสำเร็จในการเรียน ด้วยเหตุนี้มีพ่อแม่หลายคนต้องการให้ลูกเรียนภาษา นอร์เวย์ให้เร็วที่สุด แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าพ่อแม่ต้องเลิกพูดภาษาแม่ของตนเองเมื่อคุยกับลูก พ่อแม่สามารถ ช่วยลูกให้สามารถเผชิญกับสถานการณ์ที่ต้องใช้ภาษานอร์เวย์ได้
ในครอบครัวที่พ่อและแม่มีภาษาแม่ที่ต่างกัน แนะนำให้ทั้งพ่อและแม่พูดภาษาแม่ของตนกับลูก แต่เมื่อทุกคนอยู่รวมกันสามารถเลือกใช้ภาษาที่เข้าใจกัน เช่น ภาษาแม่ภาษาใดภาษาหนึ่ง ภาษานอร์เวย์ หรือภาษากลางอื่นที่ทุกคนเข้าใจ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือพ่อแม่ต้องสามารถสื่อสารกับลูกได้ในภาษาที่พ่อแม่มีความเข้าใจมากที่สุด ในครอบครัวที่มีพ่อหรือแม่คนใดคนหนึ่งพูดภาษานอร์เวย์และอีกคนหนึ่พูดภาษาแม่เป็นภาษาอื่น ถือว่าเป็นสิ่งที่ดีสำหรับเด็ก เมื่อทั้งพ่อและแม่ต่างพูดภาษาตนเอง บ่อยครั้งที่ภาษานอร์เวย์กลายเป็นภาษาที่มีอิทธิพลเหนือหรือถูกใช้มากกว่าในครอบครัวลักษณะนี้ หากพ่อแม่ต้องการให้ลูกเป็นเด็กพูดได้หลายภาษา สิ่งสำคัญคือให้การส่งเสริมให้เด็กมีพัฒนาการทั้งสองภาษา
ถือเป็นเรื่องปกติมากที่เด็กหลายภาษาจะเอาคำจากภาษาต่างๆ มาพูดรวมในประโยคเดียวกัน อาจด้วยว่าเด็กยัง ไม่ได้เรียนรู้การแบ่งแยกความแตกต่างระหว่างภาษา หรืออาจเป็นไปได้อีกเช่นกันที่เด็ก “ยืม” คำจากภาษาที่สอง หากเด็กต้องการ ด้วยเหตุนี้ถือว่าเด็กได้นำความสามารถของการพูดสองภาษามาใช้
เป็นเรื่องธรรมดาที่เด็กมีการแลกเปลี่ยนระหว่างภาษา เมื่อเด็กได้พูดคุยกับบุคคลสองภาษาคนอื่นๆ เด็กได้ใช้โอกาศในการแลกเปลี่ยนภาษาที่แตกต่างของตนเอง เพื่อแสดงออกให้เห็นถึงความแตกต่างเล็กๆน้อยๆ หรือ ความรู้สึก หรือเพื่อสัมพันธภาพระหว่างบุคคลที่พูดภาษาเดียวกัน สำหรับหลายๆคนที่พูดได้เพียงภาษาเดียว อาจเป็นเรื่องยากที่จะเข้าใจหรือยอมรับในการแลกเปลี่ยนทางภาษานี้ นักวิจัยเห็นว่าการที่จะสามารถสับเปลี่ยนระหว่างภาษาด้วยวิธีการที่ดีได้นั้น ต้องมีความรู้ทางภาษาสูง ซึ่งเป็นอย่างธรรมชาติและนำไปใช้ได้จริงในการสนทนาสองภาษา
เป็นเรื่องปกติที่เด็กหลายภาษาจะเข้าใจขอบเขตและสถานะการณ์ต่างๆในภาษาหนึ่งได้ดีกว่าอีกภาษาหนึ่ง นั่นเป็นเพราะว่า เราสามารถใช้ภาษาที่ต่างกันเหล่านี้ได้ในหลายโอกาสต่างกัน สำหรับเด็กการพูดเกี่ยวกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นในโรงเรียนอนุบาลเป็นภาษานอร์เวย์จะง่ายกว่า แต่จะดีกว่าหากเลือกใช้ภาษาแม่เมื่อพูดเกี่ยวกับสิ่ง ของ และสถานการณ์ที่บ้าน รวมทั้งกิจกรรมต่างๆที่ร่วมกันทำกับครอบครัว เด็กสามารถใช้ภาษาแม่ในการสนทนากับญาติผู้ใหญ่และพ่อแม่ แต่จะมีการแลกเปลี่ยนระหว่างภาษาเมื่อเด็กพูดคุยกับพี่น้องและเพื่อนๆ
ไม่ใช่เรื่องผิดปกติที่เด็กสองภาษาจะชอบพูดภาษานอร์เวย์มากกว่าในบางช่วงเวลา ถึงแม้ว่าพ่อแม่จะพยายามทำให้สอดคล้องต้องกัน โดยการพูดภาษาแม่กับเขาก็ตาม ถ้าเด็กพูดภาษานอร์เวย์ในขณะที่ผู้ปกครองพูดภาษาแม่ พ่อแม่สามารถช่วยเด็กได้โดยการตอบด้วยคำและสำนวนเป็นภาษาแม่ที่ถูกต้อง สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการติดต่อ และการสื่อสารกับเด็กไม่จำเป็นว่าเป็นภาษาใดที่เราใช้ การรับฟังว่าเด็กต้องการพูดอะไรสำคัญกว่าการสนใจว่าภาษาอะไรที่เด็กพูด สิ่งที่จำเป็นคือความอดทน เด็กต้องการเวลาในการเรียนรู้ภาษาแม่เมื่อเขาอยู่ท่ามกลาง สภาพแวดล้อมที่ภาษานอร์เวย์มีอิทธิพลค่อนข้างมากกว่าภาษาแม่
การที่เด็กจะพูดได้หลายภาษานั้น สิ่งสำคัญคือผู้ปกครองจะต้องพูดภาษาแม่อย่างสม่ำเสมอกับเด็ก จะดีมาก หากมีเด็กและผู้ใหญ่คนอื่นๆในพื้นที่ใกล้เคียงที่สามารถพูดคุยภาษาแม่กับเด็กได้ ทั้งนี้เพื่อเด็กจะได้เพิ่มบทบาททางภาษา นอกเหนือจากครอบครัวของตนเอง อย่างไรก็ตามถึงแม้ว่าเด็กจะไม่ค่อยพูดภาษาของพ่อแม่เท่าไหร่ แต่บ่อยครั้งที่เด็กมีเข้าใจมาก การที่เขาพูดออกมา สิ่งนี้คือการสร้างพื้นฐานในการเรียนรู้ของเด็กเองในการใช้ภาษาอย่างต่อเนื่องต่อไป
เด็กที่ใช้ภาษาตุรกีในประเทศตุรกี และเด็กที่ใช้ภาษานอร์เวย์ในประเทศนอร์เวย์ เรียนรู้ภาษาแม่จากหลายสถาน การณ์ที่แตกต่างกัน และโดยการติดต่อสื่อสารจากผู้คนที่หลากหลาย ส่วนในครอบครัวก็มีญาติพี่น้องและเพื่อนๆ ในโรงเรียนอนุบาล ที่โรงเรียน ในร้านค้า ตามถนน และบนรถประจำทาง ซึ่งตลอดทั้งวันเด็กมีโอกาศฟัง ได้พูด คุยและเรียนภาษาแม่ของตนเอง เด็กที่มีภูมิหลังเป็นชนกลุ่มน้อยหลายคนในประเทศนอร์เวย์ จะมีโอกาศที่ค่อน ข้างจำกัดในการพัฒนาภาษาแม่ของตนเอง ซึ่งเด็กส่วนใหญ่โดยมากจะฟังและใช้ภาษาแม่ที่บ้าน ดังนั้นถือว่าเป็น ความจำเป็นอย่างยิ่งที่ผู้ปกครอง โรงเรียนอนุบาล และที่โรงเรียนต้องกระตุ้นพัฒนาการภาษาแม่ของเด็ก ผู้ใหญ่ ที่อยู่แวดล้อมเด็กต้องสร้างโอกาสให้เด็กได้พูดภาษาแม่ให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ไม่ว่าจะเป็นทั้งที่บ้านและ นอกบ้าน
หลายๆเขตเทศบาลได้จัดให้มีโรงเรียนอนุบาลเปิด เพื่อเป็นสถานที่ที่ผู้ปกครองจะได้ใช้เวลาร่วมกันกับเด็ก ณ ที่ตรงนี้ผู้ปกครองสามารถที่จะได้พบปะกับผู้ปกครองคนอื่นๆ และเด็กได้เล่น ทำกิจกรรมต่างๆ รวมถึงการเข้า สังคมด้วย บางเขตเทศบาลได้จัดให้มีช่วงเวลานิทานห้องสมุดในภาษาต่างๆ ห้องสมุดเหล่านี้จะมีทั้งหนังสือ สำหรับเด็กและหนังสือสำหรับวัยรุ่น รวมทั้งหนังสือเสียงจากหลายภาษาให้ยืมด้วย ควรศึกษาในเขตเทศบาลของ ตนเองดูว่าว่ามีหรือไม่ นอกจากนี้ผู้ปกครอง โรงเรียนอนุบาล และโรงเรียนยังสามารถไช้ประโยชน์จากห้องสมุด หลายภาษา(Den flerspråklige bibliotek) ที่ห้องสมุด Deichmanske ในออสโล ที่นี่มี ทั้งหนังสือสำหรับเด็กและผู้ใหญ่ในหลายภาษา ห้องสมุดท้องถิ่นสามารถช่วยเหลือในการยืมจากที่นี้ได้ ยังมี เว็บไซด์ภาษาแม่ ที่มีหนังสือต่างๆและหนังสือเสียงในหลายภาษา รวมถึงคำคล้องจอง เพลง และนิทานจากหลากหลายภาษาด้วยเช่นกัน
การไปเข้าโรงเรียนอนุบาลเป็นการเริ่มต้นที่ดี ในการพัฒนาภาษานอร์เวย์สำหลับเด็กหลายภาษา สิ่งสำคัญลำดับต่อมาคือการทำงานที่ดีร่วมกันระหว่างโรงเรียนอนุบาล ศูนย์อนามัย โรงเรียน และผู้ปกครอง โรงเรียนอนุบาล และโรงเรียนมีความรับผิดชอบอย่างมากต่อพัฒนาการภาษานอร์เวย์ของเด็ก ถึงแม้ว่าผู้ปกครองเองจะพูดภาษานอร์เวย์ได้ไม่ดีเท่าที่ควร แต่บทบาทของพ่อแม่นั้นก็ยังคงสำคัญต่อการพัฒนาภาษานอร์เวย์ของเด็กอยู่ ทั้งนี้ผู้ปกครองสามารถช่วยสนับสนุนงานด้านภาษาจากทางโรงเรียนอนุบาลและจากที่โรงเรียนได้
สำหรับเด็กก่อนวัยเรียน ทางโรงเรียนอนุบาลสามารถให้โอกาศที่ดีและหลายหลาก เพื่อการพัฒนาด้านภาษา เมื่อเด็กโตขึ้นและไปโรงเรียน เด็กจะได้มีการพัฒนาภาษาและสังคม จากทางSFO (หน่วยงานดูแลเด็กหลังเวลาเรียน) หรือโรงเรียนกิจกรรม รวมถึงกิจกรรมตามความสนใจหลังเรียนต่างๆ เช่น ฟุตบอล การร้องเพลงประสานเสียง โรงเรียนวัฒนธรรม หรือในลักษณะเดียวกัน ผู้ปกครองควรสนับสนุนให้เด็กเข้าร่วมกิจกรรมต่างๆเหล่านี้
โรงเรียนอนุบาลมีความรับผิดชอบในการช่วยให้การพัฒนาการด้านภาษาของเด็กในโรงเรียนอนุบาลเกิดขึ้นอย่าง เหมาะสม โดยการทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดกับผู้ปกครอง โรงเรียนอนุบาลภายใต้แผนงานสำหรับข้อกำหนด และหน้าที่ของโรงเรียนอนุบาล(Rammeplan for barnehagens innhold og oppgaver) มีหน้าที่ส่งเสริมให้ เด็กใช้ภาษาแม่ของตัวเอง และในขณะเดียวกันก็ทำงานอย่างต่อเนื่องใน การกระตุ้นความสามารถทางภาษานอร์เวย์ของเด็กด้วย(Kunnskapsdepartementet 2011:35) ผู้ปกครองสามารถปรึกษากับครูว่าเด็กต้องการอะไร บ้างที่จะช่วยในการกระตุ้นพัฒนาการด้านภาษาของเด็ก ตัวอย่างเช่น โอกาสที่เด็กจะได้รับครูผู้ช่วยสองภาษา หรือการจัดการประเมินการศึกษาภาษาที่สองในโรงเรียนอนุบาล
เด็กที่เรียนภาษาใหม่จะมีพฤติกรรมต่อภาษาใหม่นั้นในลักษณะที่แตกต่างกัน เด็กบางคนจะเริ่มออกเสียงคำและ ประโยคเป็นภาษาใหม่นั้นทันที ในขณะที่เด็กคนอื่นอาจต้องรอเป็นช่วงเวลาค่อนข้างนาน ซึ่งบางครั้งอาจเป็น เวลาหลายเดือนก่อนที่จะแสดงออกมาในภาษาใหม่นั้น เมื่อเด็กคนหนึ่งต้องเข้าโรงเรียนอนุบาลที่ไม่มีการใช้ ภาษาแม่ ถือว่าเป็นสถานการณ์หนึ่งที่ยากสำหรับเด็กทีเดียว ในช่วงเวลานี้การที่เด็กได้รับความสัมพันธ์อันใกล้ ชิด และความรู้สึกปลอดภัยจากผู้ใหญ่ถือว่าสำคัญมาก ถึงแม้ว่าเด็กจะไม่พูดภาษานอร์เวย์กับเด็กด้วยกัน หรือผู้ ใหญ่ในโรงเรียนอนุบาลก็ตาม แต่สิ่งที่สำคัญคือคอยดูว่าเด็กได้สื่อสารในวิธีอื่นๆ เช่น ชี้ และแสดงออกทางใบ หน้า หรือใช้ภาษาร่างกาย ถึงแม้ว่าเด็กจะไม่แสดงออกหรือพูดเป็นภาษานอร์เวย์ก็ตาม แต่เด็กจะเก็บความรู้และ ข้อมูลในภาษาใหม่นั้นตลอดเวลา เด็กบางคนที่มีการพัฒนาช้าด้านภาษาหรือมีปัญหาด้านภาษานั้น อาจเกิดจาก สาเหตุหลายอย่างต่างกัน ดั้งนั้นโรงเรียนอนุบาลและผู้ปกครองจึงต้องทำงานร่วมกันว่าจะช่วยเด็กได้อย่างไร เช่น การรับความช่วยเหลือจากภายนอก เพื่อความพร้อมในการส่งเสริมการพัฒนาการด้านภาษาของเด็ก และให้เด็กได้ รับความช่วยเหลือในสิ่งจำเป็นที่เขาควรได้รับ ทั้งที่บ้านและที่โรงเรียนอนุบาล
แม้ว่าเด็กจะไม่ได้มีโอกาสได้พูดคุยกับเด็กหรือผู้ใหญ่คนอื่นๆที่พูดภาษาแม่ในโรงเรียนอนุบาลก็ตาม แต่หากภาษาแม่ถูกยอมรับ นับว่าเป็นสิ่งที่ดีสำหรับการพัฒนาหลายภาษาของเด็ก ดั้งนั้นผู้ปกครองควรพูดภาษาแม่กับเด็ก เมื่ออยู่โรงเรียนอนุบาลตามปกติ ผู้ใหญ่หรือบุคคลากรที่ไม่สามารถช่วยเหลือด้านภาษาแม่ของเด็กได้ ต้องแสดงความสนใจในเชิงบวกต่อภาษาแม่ของเด็ก เช่น โดยการเรียนรู้คำบางคำ เพลงและคำสัมผัสในภาษาแม่ของเด็ก ทั้งนี้ถือเป็นสิ่งที่ดีต่อพัฒนาการหลายภาษาของเด็ก ที่มีทั้งผู้ใหญ่และเด็กในโรงเรียนอนุบาลที่เข้าใจภาษาแม่ของเขา
ในกลุ่มของเด็กที่มีภาษาแม่เป็นภาษาอื่นที่ไม่ใช่ภาษานอร์เวย์ และเรียนภาษานอร์เวย์เป็นภาษาที่สองในโรงเรียน อนุบาล สิ่งสำคัญคือเด็กต้องเข้าใจและได้รับโอกาสที่จะแสดงออกด้วยตนเอง โรงเรียนอนุบาลต้องส่งเสริมให้ เด็กใช้ภาษาแม่ของตนเอง ในขณะเดียวกันก็ทำงานอย่างต่อเนื่องเพื่อส่งเสริมทักษะภาษานอร์เวย์ของเด็กด้วย”
การส่งเสริมภาษาแม่ของเด็กดังกล่าวสามารถทำได้หลายวิธี ไม่จำเป็นว่าบุคลากรจะสามารถพูดภาษาแม่ ของเด็กได้หรือไม่ได้ แต่สำหรับเด็กหลายคนแล้วการที่มีครูผู้ช่วยสองภาษาเป็นสิ่งจำเป็นมาก บุคคลากร สองภาษาสามารถเพิ่มความรู้สึกปลอดภัย(ความมั่นใจ)ให้ทั้งเด็กและผู้ปกครอง และในขณะเดียวกันก็สามารถ เป็นผู้เชื่อมสัมพันธ์ที่ดีระหว่างบ้านและโรงเรียนอนุบาลด้วย นั่นหมายถึงว่ามีผู้ใหญ่คนหนึ่งที่เข้าใจภาษาแม่ของ เด็กที่สามารถช่วยให้เด็กเข้าใจได้ด้วยตนเอง และสามารถนำไปใช้ในการพบปะกับเด็กและผู้ใหญ่คนอื่นๆ ในโรง เรียนอนุบาลได้ เด็กจะได้รับโอกาสอันมีค่าเพื่อการพัฒนาภาษาแม่ต่อไปพร้อมกันกับได้รับการส่งเสริมเพื่อพัฒนา ทักษะในภาษานอร์เวย์ด้วย
ช่วงการเปลี่ยนแปลงจากโรงเรียนอนุบาลสู่โรงเรียนประถม อาจเป็นเรื่องใหญ่สำหรับเด็กและผู้ปกครองหลายคน เทศบาลจะได้รับคำแนะในการทำงานเพื่อนำไปปฏิบัติในขั้นตอนประสานงานสำหรับการเปลี่ยนแปลงนี้ และโรงเรียนอนุบาลเองต้องมีแผนงานประจำปีของตนเอง เพื่อรับการเปลี่ยนแปลงนี้ ทั้งนี้ผู้ปกครองสามารถศึกษาข้อมูลได้จากโรงเรียนอนุบาลหรือจากเทศบาล